วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

ปราสาทวัดโคกงิ้ว


 ปราสาทวัดโคกงิ้ว อำเภอปะคำ จ.บุรีรัมย์อยู่บนทางสายนางรอง-ปะคำ (ทางหลวงหมายเลข348) ก่อนถึงอำเภอปะคำ 3 กิโลเมตร เป็นโบราณสถานสมัยขอม ด้านหลังวัดโคกงิ้ว น่าไปเที่ยวชมมากเลยทีเดียว.........

งานประเพณีแห่เทียนพรรษา


จากการสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ ได้ความว่า ชาวอุบลราชธานี ได้ทำต้นเทียนประกวดประชันความวิจิตรบรรจงกัน ตั้งแต่ พ.ศ.2470 จนเมื่อปี พ.ศ.2520 จังหวัดอุบลราชธานี ได้จัดงานสัปดาห์ประเพณีแห่เทียนพรรษา ให้เป็นงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่และมโหฬาร สถานที่จัดงานคือ บริเวณทุ่งศรีเมืองและศาลาจตุรมุข มีการประกวดต้นเทียน 2 ประเภท คือ ประเภทติดพิมพ์ และประเภทแกะสลัก โดยขบวนแห่จากคุ้มวัดต่างๆ พร้อมนางฟ้าประจำต้นเทียน จะเคลื่อนขบวนจาก หน้าวัดศรีอุบลรัตนาราม ไปตามถนน มาสิ้นสุดขบวนที่ทุ่งศรีเมือง และการแสดงสมโภชต้นเทียน แลเป็นแสงไฟต้องลำเทียนงามอร่ามไปทั้งงาน ซึ่งตั้งแต่ปี พ.ศ.2542 เป็นต้นมา งานประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี มีชื่องานแต่ละปี ท่านใดที่สนใจสามารถไปเที่ยวชมได้ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 แรม 1 ค่ำเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา จัดขึ้นทุกปี  สวยงามตระการตามากเลยครับ ไปมาแล้วลองไปเที่ยวกันดูนะครับ

 
        

จักสานครุน้อยบ้านสะอาง


ชาวบ้านตำบลห้วยเหนือมีทักษะในการจักสานไม้ไผ่เป็นเครื่องใช้ต่างๆมาแต่ดั้งเดิม เช่น ครุ ไว้สำหรับตักน้ำภายในครัวเรือน ต่อมาได้เริ่มการสานครุขนาดเล็กๆ และนำไปขายที่ อำเภอ ขุขันธ์ มีรายได้ดี เพื่อนบ้านใกล้เคียงจึงหัดทำจึงเกิดการรวมกลุ่มกันเอง เมื่อปี พ.ศ. 2537 เพื่อสร้างรายได้เสริม และเป็นการอนุรักษ์ครุไว้เป็นมรดก ทางวัฒนธรรมแก่คนรุ่นหลังได้รู้จัก ปัจจุบันแปรรูปได้หลายขนาด และประดิษฐ์ของที่ระลึก ของชำร่วย เช่น กรอบรูป ที่ติดเสื้อ ต่างหู ที่ติดผม และอีกมากมาย

ผ้าไหมมัดหมี่บ้านสวนฝ้าย


           
ผ้าไหมมัดหมี่บ้านสวนฝ้าย ตำบลสำโรง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ สืบทอดมาจากบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่น การผลิตผ้าไหมมัดหมี่ของบ้านสวนฝ้ายแต่เดิม เริ่มจากการปลูกต้นหม่อนเพื่อใช้เป็นอาหารของตัวไหม และเลี้ยงตัวไหมในกระด้ง(ภาชนะที่สานด้วยไม้ไผ่ลักษณะวงกลมพื้นที่ประมาณ๑#๑ ม.) เพื่อผลิตเส้นไหมเอง และไหมที่ได้เรียกว่า ไหมบ้านมีลักษณะเส้นไม่เรียบเป็นตะปุ่มตะป่ำ ใช้สำหรับทอผ้าซิ่น ผ้าโสร่ง ผ้าขาวม้า โดยการทอมือ การวาดลวดลาย สีสันบนผ้า ได้รับอิทธิพลมาจากขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ วัฒนธรรมในการดำเนินชีวิต ค่านิยมในสังคมที่มีการสืบทอดกันมาจากกลุ่มชุมชนต้นกำเนิด
นอกจากผ้าไหมที่ผลิตเพื่อใช้ในครอบครัวแล้วยังใช้เป็นของขวัญ(เครื่องสมมา) ในงานมงคลสมรส แล้วยังใช้เป็นของขวัญของฝากสำหรับญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง คนรู้จักคนที่เคารพนับถือ และปัจจุบันได้พัฒนาลวดลายและคุณภาพรูปแบบผลิตภัณฑ์ให้มีความทันสมัย ทำให้ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมมีมูลค่าเพิ่ม เป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น

เกวียนน้อยบ้านใจดี

เกวียนหมายถึง พาหนะที่ชาวเมืองขุขันธ์ในอดีต ใช้เป็นพาหนะสำหรับการเดินทางและบรรทุกสัมภาระ หรือสิ่งของ เช่น บรรทุกผลผลิตทางการเกษตร เพราะสมัยก่อน เมืองขุขันธ์มีมีรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ใช้สำหรับเป็นพาหนะในการเดินทาง ใช้วัว 2 ตัว เป็นแรงงานลากจูงแทนคน และเครื่องจักรสมัยก่อน ครอบครัวที่มีอันจะกินหรือข้าราชการเท่านั้นที่จะมีเกวียนใช้ในครอบครัว
เกวียนน้อยบ้านใจดี ได้ก่อกำเนิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2505 โดยนายอำเภอขุขันธ์ ได้นำเกวียนน้อยมาให้ชาวบ้านใจดีลองฝึกประดิษฐ์ดู ผลปรากฏว่าชาวบ้านใจดีมีความสนใจ สามารถประดิษฐ์ได้สวยงาน ต่อมาจึงได้จัดให้มีการประกวดการประดิษฐ์เกวียนน้อยขึ้น มีผู้เข้าแข่งขันประดิษฐ์เกวียนน้อยมากมาย ผู้ที่ชนะการประกวดในครั้งนั้น คือ คุณพ่อเกิด เตารัตน์ (ปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว) หลังจากนั้นคุณพ่อเกิด เตารัตน์ ได้ประดิษฐ์เกวียนน้อยเพื่อการจำหน่าย สร้างรายได้แก่ครอบครัวเรื่อยมาจนเป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย
ปี พ.ศ. 2523 ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ได้จัดให้มีการฝึกอบรมการประดิษฐ์เกวียนน้อยให้กับเยาวชนบ้านใจดี และชาวตำบลใกล้เคียง ที่มีความสนใจเข้ารับการฝึกอบรมจำนวน 30 คน โดยใช้งบประมาณของสำนักราชเลขาธิการ มีคุณพ่อ เกิด เตารัตน์ เป็นวิทยากร ปัจจุบันมีผู้ผ่านการฝึกอบสามารถผลิตเกวียนน้อยได้ และยังมีชีวิตอยู่ คือ นายสมเกียรติ เตารัตน์, นายหวน ไกลถิ่น และ นายหยาด เทพแสง
ปัจจุบันกลุ่มประดิษฐ์เกวียนน้อยบ้านใจดีตั้งอยู่บ้านเลขที่ 324 หมู่ที่ 1 ตำบลใจดี มีนายสมเกียรติ เตารัตน์ เป็นประธานกลุ่ม มีสมาชิก 30 คน สมาชิกสามารถผลิตเกวียนน้อยจำหน่ายให้เกิดรายได้เสริมและสร้างชื่อเสียงให้กับชาวบ้านใจดี และอำเภอขุขันธ์เป็นอย่างดี อีกทั้งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ของอำเภอขุขันธ์ด้วย

ประเพณีแซนโฎนตา

ประเพณีแซ่นโฎนตา อำเภอขุขันธ์เดิมเป็นที่ตั้งของบริเวณเมืองขุขันธ์ ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่อายุกว่า 200 ปี เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของคนไทยหลายเชื้อสาย หลายภาษา เช่น เขมร ลาว ส่วย เยอ จีน เป็นต้น มีจารีตประเพณีและวัฒนธรรมที่งดงามของท้องถิ่นอยู่เป็นจำนวนมาก และหนึ่งในจำนวนนั่นก็คือ ประเพณีแซ่นโฎนตา ซึ่งเป็นประเพณีการเซ่นไหว้บรรพบุรุษของคนไทยเชื้อสายเขมร โดยคนไทยกลุ่มดังกล่าวได้ยึดถือปฏิบัติมาตั้งแต่เดิม เนื่องจากอำเภอขุขันธ์มีคนไทยเชื้อสายเขมรอยู่เป็นจำนวนมาก บรรดาลูกหลานที่ไปทำงานต่างถิ่น จะกลับมาร่วมพิธีเซ่นไหว้ที่บ้านเป็นประจำทุกปี แต่การแซ่นโฎนตาได้กระทำกันในครอบครัว บางครอบครัวที่เป็นคนรุ่นใหม่เริ่มขาดความรู้ความเข้าใจในพิธีกรรมดังกล่าว ชาวอำเภอขุขันธ์จึงได้จัดงานประเพณีแซ่นโฎนตาขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2554 เป็นต้นมา เพื่อเป็นการสืบสาน พัฒนาและส่งเสริมวัฒนธรรม ประเพณีในท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ในปีนี้จะมีการจัดงานในวันที่ 26 กันยายน 2554 งานเริ่ม 08.00-20.00 น. มีขบวนแห่ที่สวยงาม ท่านใดที่สนใจก็สามารถไปร่วมงานได้ ที่ อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ นะครับ

ปราสาทตาเล็ง


ปราสาทตาเล็ง ตั้งอยู่หมู่ 6 บ้านปราสาท ตำบลกันทรารมย์ เป็นปรางค์องค์เดียวที่ตั้งอยู่บนฐาน องค์ปรางค์มีผนังเป็นรูปสี่เหลี่ยมสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมไม้สิบสองหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ปัจจุปันเหลือเพียงผนังด้านหน้าและผนังด้านข้างบางส่วน มีประตูเข้าเพียงประตูเดียวด้านหน้า อีกสามด้านเป็นประตูหลอก ที่สำคัญคือเสาติดผนังของประตูหน้าทั้งสองข้างยังคงมีลวดลายก้านขดสลักเต็มแผ่นอย่างสวยงาม สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 นอกจากนี้บนพื้นรอบๆยังมีทับหลังวางอยู่หลายชิ้น ชิ้นหนึ่งวางอยู่หน้าประตูด้านทิศเหนือ สลักเป็นภาพพระอินทร์ทรงช้างในซุ้มเรือนแก้วเหนือหน้ากาล ซึ่งคายท่อนพวงมาลัยออกจากปากและยึดท่อนพวงมาลัยนั้นไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ทับหลังชิ้นอื่นๆลักษณะคล้ายกัน ทับหลังชิ้นหนึ่งมีแนวภาพตอนบนสลักเป็นรูปฤาษีนั่งเรียงกันในท่าสมาธิ 7 ตอน จากลักษณะทางสถาปัตยกรรม และศิลปกรรมที่ปรากฏ กล่าวได้ว่าปราสาทตาเล็ง สร้างขึ้นในศิลปะขอมแบบบาปวน ซึ่งมีอายุราว พ.ศ.1560-1630

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

หมู่บ้านทอผ้าไหมบ้านท่าสว่าง



หมู่บ้านทอผ้าไหมบ้านท่าสว่าง
ตั้งอยู่ที่บ้านท่าสว่าง ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ประมาณ 10 กม. โดยใช้เส้นทางถนนสายเกาะลอย-เมืองลิง เป็นโรงงานทอผ้ายกทองโบราณที่คุณภาพผ้าและลายทัดเที่ยมของโบราณ เป็นการทอโดยใช้ใยไหมเส้นเล็กละเอียด (ไหมน้อย) มาย้อมสีธรรมชาติ ด้วยเทคนิคแบบโบราณผสานกับการออกแบบลวดลายที่วิจิตร แบบลายชั้นสูงในอดีตเช่น ลายเทพพนม ลายหิ่งห้อยชมสวน ลายก้านขดเต้นรำ ลายครุฑยุคนาค เป็นต้น รวมทั้งไหมทองคำที่ผลิตขึ้นมาจากเส้นเงินบริสุทธิ์แล้วปั่นควบกับเส้นไหม นำมาทักทอเป็นผ้าไหมยกทอง ที่มีความวิจิตรงดงาม ในการออกแบบและการทอแต่ละผืนต้องใช้เวลานาน บางผืนอาจใช้เวลาเป็นปีจึงแล้วเสร็จ ขึ้นอยู่กับขนาดของตะกอ การทอผ้าไหมของชาวบ้านท่าสว่างได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมจากสำนักพระราชวัง และมูลนิธิในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ จนได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ทอผ้าไหมมอบให้กับผู้นำเอเปค เมื่อปี พ.ศ. 2546เอ่ยชื่อ"บ้านท่าสว่าง"ต.ท่าสว่างอ.เมืองสุรินทร์ผู้คนทั่วไปอาจไม่รู้จัก แต่ถ้าพูดถึง "หมู่บ้านผ้าไหมเอเปค บ้านท่าสว่าง" จะเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี เมื่อครั้งที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม "เอเปค" เมื่อเดือนตุลาคม 2546 ที่มีการทอผ้าไหมยกทองโบราณมอบแก่ผู้นำทุกประเทศที่เข้าร่วมประชุม เป็นเสื้อและผ้าคลุมไหล่ที่มีความงดงามอย่างยิ่ง ทำให้ "บ้านท่าสว่าง" เป็นที่รู้จักนับแต่นั้นมา*จังหวัดสุรินทร์ได้รับสมญานามว่าเป็น"ราชาและราชินีแห่งผ้าไหม  มีชนเผ่าพื้นเมือง 3 เผ่า คือ เขมร ลาว กวย อาชีพหลักคือการทำนา ทำไร่ เสร็จจากนาจะปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้า ผ้าไหมของชาวสุรินทร์แต่ละพื้นที่มีลวดลายที่แตกต่างกันกว่า 20 ลาย แต่ที่นิยมทอกันมาก คือ "ลายโฮลและลายอัมปรม" ที่ชนะการประกวดในสุดยอดผ้าไหม จนเป็นที่ยอมรับและพูดกันติดปากว่าจะซื้อผ้าไหมต้องไปสุรินทร์ ถิ่นเมืองช้าง ซึ่งปัจจุบันเป็นจังหวัดที่มีช้างเลี้ยงมากที่สุดในโลก อยู่ที่หมู่บ้านช้างบ้านตากลาง ต.กระโพ อ.ท่าตูม เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ในวันที่ 9 มิถุนายน ทางการประกาศให้เป็นปีแห่งการเฉลิมฉลอง และกระทรวงการต่างประเทศได้มอบหมายให้ "นายวีระธรรม ตระกูลเงินไทย" ช่างผู้ออกแบบทอผ้าไหม "เอเปค" ชาวบ้านท่าสว่าง ให้เป็นผู้ออกแบบการทอผ้าไหมยกทองโบราณ เพื่อเป็นผ้าคลุมพระอังสาแด่ราชินี พระราชอาคันตุกะที่จะเสด็จฯมาร่วมงานฉลองการครองราชย์ครบ 60 ปี ของในหลวงระหว่างวันที่ 12-13 มิถุนายน  นายวีระธรรม ความภูมิใจของชาวสุรินทร์พูดถึงการทำงานครั้งนี้ว่า ที่กระทรวงการต่างประเทศไว้วางใจให้ชาวบ้านท่าสว่างเป็นผู้ทอผ้าไหมเพื่อเป็นผ้าคลุมพระอังสา ของกำนัลจากเมืองไทยแด่พระราชินีจากประเทศที่จะเสด็จฯมาร่วมงานฉลองครองราชย์ครบ60ปีโดยชาวบ้านได้ออกแบบและลงมือทอไปแล้วตั้งแต่วันที่1พฤษภาคมที่ผ่านมา เอกลักษณ์ผ้าไหมหรือผ้าคลุมพระอังสานั้น ผ้าไหมที่ทอเป็นผ้ายกทอง ใช้ชื่อว่า "ลายครุฑหรือลายครองราชย์" มีขนาดความกว้าง 75 เซนติเมตร ยาว 2 เมตร 20 เซนติเมตร ใช้ไหมไทยและไหมทองย้อมด้วยสีธรรมชาติ ไม่ใช้สีเคมี ใช้เส้นพุ่งหรือตะกอจำนวน 1,081 ตะกอ ใช้เวลาทอประมาณ 1 เดือน ทอตลอด 24ชั่วโมง






บ้านตากลางหรือหมู่บ้านช้าง จังหวัดสุรินทร์

 บ้านตากลางหรือหมู่บ้านช้าง จังหวัดสุรินทร์
                มีวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์เป็นการเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร  ทั้งในด้านภาษาพูดและความเป็นอยู่รวมกันระหว่าง  คนกับช้าง โดยคนในชุมชนจะยึดถือ ศาลปะกำ ช้างเป็นหลัก และยังเป็นชุมชนที่ยังหลงเหลือให้ดูเพียงหนึ่งเดียวในโลกคือ ชุมชนชาวกวยเลี้ยงช้าง   คนและช้างเปรียบเสมือนสมาชิกในครอบครัวที่มีความผูกพันกันอย่างแนบสนิทตามฐานะอายุของช้างและคน  ถ้าช้างมีอายุมากก็เปรียบช้างเสมือนพ่อ-แม่-ปู่-ย่า-ตา-ยาย ถ้าช้างมีอายุน้อยก็เปรียบช้างเสมือนลูก-หลาน ตามธรรมเนียมชาวกวยช้างคือสัตว์คู่บ้านคู่เมือง คู่พระพุทธศาสนา มีคุณค่าต่อชาวโลกด้านวัฒนธรรมประเพณีมาทุกยุคทุกสมัย  จนกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรม เช่น ประเพณีกราบไหว้ศาลปะกำประจำตระกูล  วัฒนธรรมประเพณีลอดท้องช้าง  วัฒนธรรมประเพณีบวชนาคแห่นาคด้วยช้าง วัฒนธรรมประเพณีการเคารพกฏ ระเบียบข้อปฏิบัติ ข้อห้ามของหมอช้างเป็นต้น  กลายเป็นวิถีชีวิตของชุมชนอย่างแท้จริง

การแสดงความสามารถของช้างภายในศูนย์คชศึกษาทุกวัน ๆ  ละ  2  รอบ  รอบแรกเวลา  10.00  น.  รอบที่สอง  14.00 น.  มีการแสดงที่น่าสนใจ เช่น ช้างวาดรูป ช้างเล่นห่วงยาง  ช้างนั่ง   ช้างยืนสองขา  ช้างเดินข้ามคน  นั่งงวงช้าง  และการแสดงอื่นๆ  ที่น่าสนใจอีกมากมายต้องมาชมการด้วยตนเองที่ศูนย์คชศึกษา






ลักษณะทั่วไปของช้าง
 เป็นสัตว์บก ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นสัตว์เลือดอุ่นและเลี้ยงลูกด้วยนม ปกติออกลูกครั้งละ ๑ตัว กินพืช เป็นอาหาร มองจากภายนอกจะเห็นว่า ช้างมีลักษณะ ที่แตกต่างจากสัตว์อื่นๆ เช่น รูปร่างใหญ่โตมีงวงที่ยื่นยาวออกมา มีงาสีขาว ๑คู่อยู่ข้างริมฝีปาก มีใบหูที่กว้างใหญ่โบกพัดไปมา ศีรษะโต ตาเล็ก ขาใหญ่ตรง และหางที่ยาว จนเกือบจะพื้นดิน  ช้างที่พบในปัจจุบันมี  ๒  ชนิด ได้แก่
ช้างเอเชีย (subspecies)
ช้างทุ่งแอฟริกา (Loxodonta africana africana)

ในประเทศไทย ช้างเป็นสัตว์ที่ได้รับการยกย่องให้มีความสำคัญและอยู่เหนือสัตว์ทั้งมวล ช้างที่มีคชลักษณ์ที่ดีต้องตามตำราคชศาสตร์ ได้แก่ ช้างเผือกถือเป็นสัตว์มงคลแห่งองค์พระมหากษัตริย์ เป็น สิ่งสำคัญคู่บ้านคู่เมือง ทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง พระมหากษัตริย์พระองค์ใดมีช้างเผือก      คู่พระบารมีจำนวนมาก ถือว่าทรงมีบุญญาธิการมาก    

ข้อมูลที่น่ารักเกี่ยวช้างไทย

ช้าง                         - ช้างเป็นสัตว์บกเลี้ยงลูกด้วยนมที่ใหญ่ที่สุดในโลก
อายุช้าง                  - ช้างมีอายุเฉลี่ยประมาณ 80 ปี
น้ำหนักช้าง           - ช้างเมื่อโตเต็มที่จะมีน้ำหนักประมาณ 3,000 – 5,000 กิโลกรัม
ส่วนสูงช้าง            - ช้างเมื่อโตเต็มที่จะมีความสูงประมาณ 8 – 9 ฟุต
ช้างกินอาหาร        - ช้างจะกินอาหารประมาณร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัว/วัน
ช้างนอน                 - ช้างจะหลับนอนเพียงวันละ 3-4 ชั่วโมง
ช้างต้องการน้ำ       - ช้างจะกินน้ำประมาณวันละ 60 แกลลอน หรือ 15 ปิ๊บ/วัน
เริ่มผสมพันธุ์           - ช้างจะเริ่มผสมพันธ์ เมื่ออายุ ประมาณ 13-15 ปี จนถึงอายุ 60 ปี
ฤดูกาลผสมพันธุ์     - ช้างจะผสมพันธุ์ไม่เป็นฤดูกาล สุดแท้แต่โอกาสและบรรยากาศแวดล้อม
การผสมพันธุ์           - ช้างตัวผู้จะขึ้นทับตัวเมียครั้งหนึ่งใช้เวลา 30-60 วินาที และใช้เวลาในการผสมพันธุ์จริงๆ (สอดเครื่องเพศ) เพียง 10-15 วินาทีเท่านั้น
การเป็นสัด                - ช้างตัวเมียจะเป็นสัดปีละ 3-4 รอบ (ถ้าไม่มีการตั้งท้อง) เป็นสัดครั้งหนึ่งอยู่นาน 2-8 วัน (เฉลี่ย 4 วัน)
การตั้งท้อง                 - ช้างจะตั้งท้องนานประมาณ 18-22 เดือน (ลูกช้างผู้อยู่ในท้องนานกว่าลูกช้างตัวเมีย)
การตกลูก                   - ปกติช้างจะตกลูกคราวละ 1 ตัว อาจมีแฝดได้
ระยะเวลาการมีลูก    - เมื่อแม่ช้างออกลูกมาแล้วจะดูแลและอยู่ร่วมกันกับลูก ประมาณ 3 ปี แล้วแม่ช้างจึงจะเริ่มผสมพันธุ์อีกครั้งหนึ่ง รวม ระยะเวลา 5 ปี กว่าแม่ช้างจะมีลูกแต่ละครั้ง
ลึงค์                             - ลึงค์หรืออวัยวะสืบพันธุ์ของช้าง ช้างตัวผู้จะมีลึงค์ยาวประมาณ 1 – 2 เมตร ในสภาพปกติ และยาว 2 – 2.5 เมตร ขณะแข็ง
ลูกอัณฑะช้าง           - ช้างตัวผู้จะมีลูกอัณฑะในช่องท้องใกล้ ๆ กับไต เมื่อโตเต็มวัย ลูกอัณฑะจะมีน้ำหนัก 1 – 4 กิโลกรัม
อากาศที่ชอบ             - ปกติช้างชอบอยู่ในป่าดงดิบ ทึบ มีอากาศร่มเย็น อุณหภูมิประมาณ 18-20 องสาเซลเซียส ไม่ชอบอากาศร้อนจัด
การตกมัน                  - ช้างพลายและช้างพังที่โตเต็มวัยหรือเรียกว่าอยู่ในวัยฉกรรจ์ซึ่งมีอายุระหว่าง 20-60 ปี ถ้ามีร่างกายอ้วนถ้วนแข็งแรงสมบูรณ์และมีโอกาสตกมันได้ (บางเชือกขณะตกมันจะมีนิสัยดุร้าย และจำเจ้าของไม่ได้)
ระบบประสาท         - ช้างจะรับรู้ทางระบบประสาทตาประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่จะมีระบบรับรู้การจำเสียง จำกลิ่นได้เป็นอย่างดี
ผิวหนัง                      - ช้างจะมีผิวหนังหนาประมาณ 1.9 – 3.2 เซนติเมตร
การเต้นของหัวใจ    - ท่ายืน 25 – 30 ครั้ง/นาที
                                    - ท่านอนตะแคง 72 – 98 ครั้ง/นาที
                                    - ขณะออกกำลัง 60 ครั้ง/นาที
อัตราการหายใจ       - ช้างหายใจ 4 - 6 ครั้งต่อนาที
อุณหภูมิในร่างกาย - ปกติอุณหภูมิในร่างกายช้างประมาณ 36 – 37 องศาเซลเซียส
ฟันช้าง                      - ตลอดชีวิตของช้างจะมีฟันกรามถึง 6 ชุด
ซี่โครงช้าง               - ช้างจะมีซี่โครงจำนวน 19 คู่
ข้อกระดูกหาง         - ช้างมีข้อกระดูกหาง ประมาณ 26 – 33 ข้อ
เล็บเท้าช้าง              - เท้าหน้าของช้างมี 5 เล็บ , เท้าหลังของช้างจะมี 4 เล็บ
หมายเหตุ : ศัพท์นิยม
ลักษณะนามของช้างป่า ใช้ ตัว
ลักษณะนามของช้างป่า ใช้ เชือก
ลักษณะนามของการรวมกลุ่มเป็นหมู่ของช้างป่า ใช้ ฝูง
ลักษณะนามของการรวมกลุ่มเป็นหมู่ของช้างบ้าน ใช้ โขลง
ลักษณะนามของช้างเผือก ใช้ ช้าง

ความรู้ที่ได้รับจากการไปทัศน์ศึกษานอกมหาวิทยาลัยครั้งนี้ ทำให้ได้เรียนรู้ในเรื่องของช้างและชาวบ้านที่หมู่บ้านช้าง จ.สุรินทร์ นอกจากนี้ยังได้พูดคุยกับชาวบ้านและได้รู้วิธีการดำรงค์ชีวิตของช้างและมนุษย์ที่หมู่บ้านช้าง และได้ชมการแสดงของช้างในรูปแบบต่างๆ เช่น ช้างแตะบอล เล่นบาส เล่นฮูลาฮูป ฯ อย่างสนุกสนานกับการแสดง และในงานนี้ไม่ได้มีเพียงแสดงช้างอย่างเดียวยังมีการค้าขายสินค้าโอทอปอกด้วย เช่น พวงกุลแจ เสื้อผ้าสกรีนลายช้าง หมวก สร้อย-แหวน งาช้าง ฯ

วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เที่ยววัดล้านขวด

               
               ไปเที่ยววัดล้านขวดกันดีกว่า ของดีศรีสะเกษเฮากะมี!!!
              ตั้งอยู่ในเขตสุขาภิบาล สิ่งปลูกสร้างภายในตกแต่งด้วยขวดแก้วหลากสีหลายแบบนับล้านใบที่ชาวบ้านได้ช่วยกันบริจาค เป็นวัดที่มีลักษณะสวยงามแปลกตา โดยเฉพาะศาลาใหญ่ที่เรียกว่า ศาลาฐานสโม มหาเจดีย์แก้ว และนอกจากนี้ยังมีสิม (โบสถ์) อยู่กลางน้ำภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหยกขาว ซึ่งมีความวิจิตรงดงามมาก การเดินทาง จากศรีสะเกษไปอำเภอขุนหาญใช้ทางหลวงหมายเลข 211 และ 2111 ผ่านอำเภอพยุห์ อำเภอไพรบึงไปขุนหาญ ระยะทางประมาณ 61 กิโลเมตร
                เที่ยววัดล้านขวด

                ที่วัดป่ามหาเจดีย์แก้ว หรือที่ชาวบ้านในอำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษรู้จักกันดีในชื่อวัดล้านขวดที่เขาเรียก กันแบบนี้ก็เป็นเพราะว่า สถานที่ต่าง ๆ ภายในวัดล้วนแต่ถูกประดับประดาไป ด้วยขวด เริ่มตั้งแต่ทางเข้าวัดทั้งกำแพงซุ้ม ประตูโบสถ์ ศาลา หอระฆัง กุฏิ หรือแม้แต่ห้องน้ำ ก็ยังถูกตบแต่งด้วยขวดเช่นกันนอกจากความงดงามแปลกตาของขวดที่สลับสี และการวางลวดลายแล้ว เรา ยังทึ่งกลับความคิดในการนำฝาขวดมาปะติด จนได้เป็นภาพพุทธประวัติที่ไม่เหมือนที่ ใดอีกด้วยสิ่งเหล่านี้เกิดจากความคิดของพระครูวิเวกธรรมาจารย์ หรือหลวงปู่หลอด ท่านบอกว่า การนำขวดมาตกแต่งนั้น นอกจากจะประหยัดในเรื่องของการทาสีแล้ว ที่สำคัญขวดแก้วนั้น ยังแฝงไปด้วยคติคือ ความใสของแก้ว เมื่อกระทบแสงแดดแล้ว ทำให้เกิดแสงสว่างเหมือนแสงธรรมที่ควรบรรลุถึง สำหรับขวดไม่ว่าจะคว่ำลง หงายขึ้น หรือวางในแนวนอน ก็ล้วนแต่มีคติสอนใจทั้งนั้นที่วัดล้านขวดแห่งนี้นับเป็นอีกหนึ่งงาน สร้างที่มีเพียงแห่งเดียวในโลกก็ว่าได้ หากใครได้มีโอกาสผ่านมาจังหวัดศรีสะเกษแล้วละก็อย่าลืมแวะชมความงดงามที่ไม่เหมือนใครของวัดนี้กันนะ

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ของดีศรีสะเกษ



ชื่อผลิตภัณฑ์ : ผอบใบตาล
ที่มา
             คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.วัฒนธรรพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดศรีสะเกษ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2544
.
ผลิตภัณฑ์จากใบตาลเกิดจากภูมิปัญญาชาวบ้านที่เห็นคุณค่าของใบตาลซึ่งเป็นวัสดุธรรมชาติที่มีอยู่ในท้องถิ่น ความสวยงามของรูปทรง ความเหนียวของเส้นใน และสีที่สวยงามเป็นแรงบันดาลใจให้ นายล้อม พรเพชร และนางผี แก่นวงษา ชาวบ้านแทรง ตำบลห้วยสำราญ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกศา ได้คิดสานใบตาลเป็นของใช้ในครัวเรือนขึ้น โดยเริ่มจากเชี่ยนหมากพลู ตะกร้า กระเป๋า และผอบ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2528 นายพิศาล มูลศาสตร์สาทร ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษขณะนั้น จึงได้ส่งเสริมให้พัฒนาเป็นอาชีพเพิ่มรายได้ให้ครอบครัวเป็นอาชีพเสริมได้เป็นอย่างดีและมีการพัฒนาให้ดีขึ้นจนถึงทุกวันนี้
 ผอบใบตาลของบ้านแทรงนี้เป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วไป จะสานด้วยลายขัด ลายหนึ่ง สอดสายสีตามต้องการ ผอบใบตาลนี้สามารถใช้เก็บสิ่งของมีค่า เป็นของที่ระลึก และเป็นงานศิลปหัตถกรรมหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดศรีสะเกษ ผลิตกันมากที่บ้านแทรง บ้านกก ตำบลห้วยสำราญ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ